กาแฟ สารพันเรื่องกาแฟที่คอกาแฟไม่ควรพลาด
กาแฟ เมื่อพูดถึงกาแฟดีๆ ซักแก้ว เราจะคิดถึงกาแฟหอมกรุ่น ทั้งร้อนและเย็น ที่เราดื่มกันทุกวันใช่ไหมคะ แต่เบื้องลึกลงไปนั้น กาแฟมีประวัติความเป็นมาอย่างยาวนาน เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ กว่าที่จะได้กาแฟดีๆซักถ้วยนั้น มีเรื่องราวเล่าขานได้ มากมายไม่รู้จักจบสิ้นเลยค่ะ โดยเริ่มตั้งแต่ การคัดสายพันธุ์ วิธีปลูก พื้นที่ปลูก สภาพแหล่งน้ำ กระบวนการเก็บเกี่ยว ตลอดจนกระบวนการผลิตเพื่อให้ได้ เมล็ดกาแฟคุณภาพดี
วันนี้รสรินทร์จะพาไปเปิดโลกแห่งกาแฟ แต่ละแก้วมีที่มาอย่างไร ชงอย่างไร และเปิดกลเม็ดเคล็ดลับอัตราส่วน ที่จะทำให้เราๆ ท่านๆนั้นชงกาแฟได้ราวกับ บาริสต้า มืออาชีพก็ไม่ปานเชียวค่ะ จะมีสูตรกาแฟอยากได้หรือเปล่านะ วันนี้รสรินทร์จะเปิดเผยข้อมูลแบบจุกๆ ไปเลยค่ะ
การเลือกสั่งกาแฟชื่อดังระดับโลก
1. เอสเพรสโซ่ Espresso
เอสเพรสโซ่ Espresso เป็นทั้งชื่อเครื่องดื่มกาแฟ และวิธีการชงกาแฟที่มีต้นกำเนิดในประเทศอิตาลี ปัจจุบันมีการชงโดยเครื่องชงกาแฟเอสเปรสโซโดยเฉพาะ มันถูกประดิษฐ์ขึ้นในเมืองตูรินในปี 1884 โดยแองเจโล โมไรออนโด โดยการทำให้น้ำร้อนปริมาณเล็กน้อยผ่านช่องเล็กๆภายใต้ความดัน สูงผ่านเมล็ดกาแฟที่บดละเอียด
เมล็ดกาแฟที่ใช้ทำเอสเปรสโซนั้น ผสมผสานจากการคั่วหลายแบบ และด้วยวิธีการต้มแบบใช้แรงดัน รสชาติของเครื่องดื่มจึงเข้มข้นมาก รสสัมผัสที่เข้มข้นหอมกรุ่น ทำให้เอสเปรสโซจึงมีคาเฟอีนมากกว่าเครื่องดื่มกาแฟอื่นๆ นิยมเสิร์ฟเป็นช็อต ด้านบนของเอสเพรสโซบางครั้งท๊อปด้วยฟองโฟม ที่มีลักษณะเป็นครีมข้นที่รู้จักกันคือ ครีม่า
จากวิธีการชงแบบเอสเพรสโซ ยังสามารถทำเป็น Doppio , Ristretto และ Lungo และยังสามารถผสมกับนม หรือครีม ซึ่งเป็นพื้นฐานสำหรับกาแฟอื่นๆ อีกมากมาย ยกตัวอย่างเช่น กาแฟลาเต้ , อเมริกาโน่, คาปูชิโน่ หรือ มัคคิอาโต้
2. คาปูชิโน่ Cappuccino
คาปูชิโน่ Cappuccino กาแฟอิตาลีที่ทำจากเบสเอสเปรสโซและฟองนม เชื่อกันว่าพัฒนามาจาก kapuziner ซึ่งเป็นเครื่องดื่มที่มีกาแฟเป็นส่วนประกอบ ซึ่งเป็นที่นิยมในร้านกาแฟในประเทศออสเตรียในศตวรรษที่ 18 มีการกล่าวถึง คาปูชิโน่ ครั้งแรกในอิตาลี ในช่วงทศวรรษที่ 1930 แต่ในขณะนั้นเครื่องดื่มถูกท๊อปด้วยวิปครีม และหลายปีต่อมาได้พัฒนาการกลายเป็นรูปแบบในปัจจุบัน ด้วยการประดิษฐ์เครื่องชงกาแฟเอสเปรสโซ
คาปูชิโน่สไตล์อิตาเลียนแบบดั้งเดิมจะเสิร์ฟในถ้วยขนาดเล็ก ทำได้โดยการชงเอสเปรสโซ่หนึ่งหรือสองช็อต แล้วตามด้วยนมอุ่นๆ ต่อด้วยฟองนมที่บางเบา อัตราส่วนที่แนะนำในอิตาลีคือให้มีฟองมากกว่าของเหลว
เนื่องจากความนิยมนอกประเทศอิตาลีอย่างท่วมท้น กาแฟคาปูชิโนจึงมีความแตกต่างจากเวอร์ชันอิตาลีดั้งเดิมอย่างสิ้นเชิง เราสามารถหากาแฟคาปูชิโน่รับประทานได้ตลอดทั้งวัน ในขณะที่ชาวอิตาลีจะไม่ค่อยดื่มในตอนบ่าย เกร็ดที่น่าสนใจคือชื่อคาปูชิโน่ ได้รับแรงบันดาลใจจากภราดาคาปูชิน เนื่องจากการผสมสีของกาแฟและนมคล้ายกับเสื้อคลุมคาปูชิน
3. ริสเทรตโต้ Ristretto
ริสเทรตโต้ Ristretto ชื่อของ ริสเทรตโต้ มาจากคำว่า Restricted ในภาษาอิตาเลียน มีความหมายถึง การกำจัด หรือ ถูกจำกัด มันแตกต่างจากการชงเอสเพรสโซ่ ไม่เพียงปริมาณน้ำที่ใช้ในการชงกาแฟ แต่จะรวมถึงรสชาติ โดยริสเทรตโต้จะมีมีรสขมมากกว่าเอสเพรสโซ โดยทั้ง 2 เมนูมีความแต่ต่างกันที่ อัตราส่วนของผงกาแฟต่อน้ำกาแฟที่ถูกสกัดออกมา โดยที่ Espresso จะมีอัตราส่วนสกัดเป็น 1:2 แต่สำหรับ Ristretto นั้นจะมีอัตราส่วนเป็น 1:1
สีของริสเตรตโตชวนให้นึกถึงดาร์กช็อกโกแลต ในขณะที่ครี ม่า จะเบากว่าเอสเปรสโซ โดยทั่วไปแล้ว Ristretto จะเสิร์ฟในถ้วยเดมิตาส (demitasse cup)
4. อเมริกาโน Italian Caffè Americano
อเมริกาโน Italian Caffè Americano
กาแฟ Italian caffè Americano ทำได้โดยการเติมน้ำร้อนลงไปใน เอสเพรสโซ่ช็อต อัตราส่วนของน้ำและกาฟนั้นไม่มีสูตรตายตัว ต้นกำเนิดของอเมริกาโน นั้นคลุมเครือ แต่มีคนกล่าวไว้ว่ามันได้รับความนิยมในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง โดยทหารอเมริกันที่ไปรบในยุโรป
สำหรับคนที่ไม่คุ้นเคยกับรสชาติอันเข้มข้นของเอสเพรสโซ่ อยากให้ลองอเมริกาโน่ก่อนค่ะ เพราะมีความเจือจาง รสชาติอ่อนกว่าเอสเพรสโซ่ แต่อย่าสับสนระหว่างกาแฟอเมริกาโน่ กับกาแฟอเมริกัน (American Coffee) เพราะนั่นอาจจะได้มาเป็นกาแฟดริฟ หรือกาแฟกรอง มาก็ได้ค่ะ
5. มัคคิอาโต้ Macchiato
มัคคิอาโต้ Macchiato อิตาเลียนมัคคิอาโต้ สูตรดั้งเดิมคือกาแฟหลากหลายชนิด ทำได้โดยการดึงเอสเพรสโซหนึ่งช็อต แล้วเติมด้วยนมนึ่งหนึ่งหรือสองช้อนชา นมจะถูกเติมเข้าเพื่อเพิ่มรสชาติของกาแฟเท่านั้น ไม่ควรใส่เยอะจนเกินไป
มัคคิอาโต้ Macchiato มีความหมายว่า รอยด่าง หรือ รอยเปื้อน หมายถึงการใส่นมลงไปนิดหน่อยเพื่อทำให้เอสเพรสโซรสชาติดีขึ้นเท่านั้น เวลาดื่มคนอิตาเลียนจะดื่มต่างจากคาปูชิโน่ ที่คนส่วนใหญ่มักชอบดื่มในตอนเช้า แต่กาแฟมัคคิอาโตนิยมดื่มเป็นเครื่องดื่มในยามบ่าย
และที่สำคัญไม่ควรสับสนระหว่างลาเต้ กับ มัคคิอาโตซึ่งเป็นเครื่องดื่มที่ชงด้วยอัตราส่วนของกาแฟและนมในสัดส่วนที่ต่างกัน
6. กาแฟโมก้า Caffè moka
กาแฟโมก้า Caffè moka เป็นกาแฟสไตล์อิตาลีที่ทำด้วยกาโมก้า moka pot แบบดั้งเดิม ซึ่งเป็นหม้ออลูมิเนียมแบบไฟฟ้า หรือแบบตั้งบนเตาที่โดย Alfonso Bialetti คิดค้นขึ้นในปี 1933 วิธีการทำงานคล้ายกับเครื่องชงกาแฟเอสเปรสโซ โดยการให้น้ำร้อน จากนั้นให้แรงดันไอน้ำผ่านกาแฟบด ผลลัพธ์ที่ได้คือกาแฟเข้มข้น และด้วยรสชาติที่เข้มข้นกว่ากาแฟที่ชงแบบปกติ Moka Pot ถูกคิดค้นขึ้นเพื่อเป็นวิธีชงกาแฟที่สะดวกและราคาไม่แพง
ชื่อโมก้า Moka มาจากเมืองโมก้า ของประเทศเยเมน ซึ่งเป็นท่าเรือสำคัญที่มีการค้าขายเมล็ดกาแฟที่นั่น
7. กาแฟลาเต้ Caffè latte
กาแฟลาเต้ Caffè latte เป็นกาแฟที่มีส่วนประกอบหลักเป็นกาแฟเอสเพรสโซ่ ส่วนต้นกำเนิดนั้นค่อนข้างไม่ชัดเจน โดยวิธีการทำจะประกอบไปด้วย เอสเพรสโซ่ แล้วเติมนมลงไป ในอัตราส่วน 1:3 โดยประมาณ
มีการกล่าวถึงกาแฟลาเต้ ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2410 เมื่อคำนี้ถูกกล่าวถึงใน Italian Journeys เขียนโดยวิลเลียม ดีน โฮเวลล์ส มักอ้างว่ามีต้นกำเนิดมาจากคาปูชิโน่ แต่เพื่อทำให้เครื่องดื่มมีรสนิยมมากขึ้นสำหรับชาวต่างชาติ ซึ่งมีรสนิยมผสมผสานนมและกาแฟเข้าด้วยกัน ยกตัวอย่างเช่น French caffe au lait หรือ Spanish café con Leche
ถึงแม้ว่าจะมีต้นกำเนิดมาจากยุโรป แต่ความสำเร็จระดับนานาชาติของกาแฟลาเต้นั้นดังเป็นพลุแตกจากประเทศสหรัฐอเมริกา และได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงทศวรรษ 1980
8. คอร์ตาโด Cortado
คอร์ตาโด Cortado เป็นเครื่องดื่มสัญชาติสเปน ทำได้โดยการเทเอสเพรสโซ่ ลงในถ้วยเล็กจากนั้นก็เทนมอุ่นๆ ลงไปในปริมาณเท่ากัน เพื่อตัดความขม ชื่อเมนูนี้มีที่มาจากคำว่า Cortar ในภาษาสเปนแปลว่า ตัด มาจากวิธีการทำนั่นเอง
อัตราส่วนของเอสเปรสโซต่อนม จะทำให้ได้รสชาติที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยที่ความเข้มข้นของกาแฟออกรสในตอนต้น ในขณะที่ส่วนท้ายจะนุ่มละมุนด้วยนม
9. กาเฟโอเล Café au lait
กาเฟโอเล Café au lait ถึงแม้ว่ากาแฟชนิดนี้มักจะถูกเปรียบเทียบกับ กาแฟเบสเอสเพรสโซ่ อย่างเช่น กาแฟลาเต้ กาแฟโอเลสัญชาติฝรั่งเศสนี้ จะกาเฟโอแลไม่ใช้เอสเปรสโซ แต่จะใช้กาแฟดำซึ่งชงด้วยวิธีหยดน้ำหรือวิธีต้ม ใส่นมที่อุ่นให้ร้อนลงไปในอัตราส่วน 1:1 และอาจเติมน้ำตาลหรือน้ำเชื่อมก็ได้ รสชาติกาแฟที่ได้จึงเข้มน้อยกว่าอิตาเลียนลาเต้
10. กาแฟตุรกี Turkish Coffee
กาแฟตุรกี Turkish Coffee เมล็ดกาแฟคั่วบดละเอียดพิเศษผสมกับน้ำเย็น (และน้ำตาล) ในหม้อกาแฟแบบดั้งเดิมที่เรียกว่า cezve หรือ ibrik จากนั้นต้มด้วยไฟอ่อน จนเดือด จะได้กลิ่นหอมหวล นั่นแหละกาแฟตุรกี
เมื่อชงโดยวิธีที่เป็นเอกลักษณ์ ก็ทำให้กาแฟตุรกีแตกต่างจากกาแฟชนิดอื่น เมื่อชงอย่างถูกต้องจะได้กาแฟสีเข้ม มีโฟมที่พื้นผิว กลิ่นและรสเข้ม และมีความขมป็นเอกลักษณ์ ว่ากันว่าการชงกาแฟแบบชาวเติร์ก เป็นวิธีที่เก่าแก่ที่สุดของมวลมนุษยชาติ เสริมกลิ่นให้หอมเพิ่มเติมด้วยเครื่องเทศต่างๆ เช่น อบเชย กระวาน และโดยทั่วไปแล้วจะเสิร์ฟมากัลถ้วยรองแก้วพร้อมกับน้ำหนึ่งแก้วและขนมหวาน อย่างเตอรกิสดีไลท์ Turkish delight
11. เฟรปเป้ Frappé
เฟรปเป้ Frappé แม้จะถูกคิดค้นในศตวรรษที่ 19 กาแฟสัญชาติกรีก ชนิดนี้รู้จักกันอย่างแพร่หลายในปี 1957 โดยเกิดจากการผสมกาแฟสำเร็จรูปกับน้ำและน้ำแข็ง ใส่ลงในเชคเกอร์หรือมิกเซอร์มือ จากนั้นก็เขย่าอย่างมีชั้นเชิง ไม่น่าเมื่อเทเครื่องดื่มลงในแก้ว ก็จะได้เครื่องดื่มเย็นๆ มีฟองฟองโฟมปรากฏอยู่ด้านบน
เราสามารถผสมผสานส่วนผสมได้หลากหลายเช่น นม หรือ นมข้นหวาน หรือที่เรียกกันว่า เฟรปโปกาโล frapógalo เครื่องดื่มที่มีรสขมหวาน และหอมที่จะทำให้วันทั้งวันของคุณ สดใสและสดชื่น ส่วนใหญ่จะเสิร์ฟมาในแก้วทรงสูง มีความหวานให้เลือกสามระดับ glykós (จัดเป็นหวาน และโดยทั่วไปประกอบด้วยน้ำตาลสี่ช้อนชา), métrios (ความหวานปานกลางที่มีน้ำตาลประมาณสองช้อนชา) หรือ skétos (ไม่มีน้ำตาล)
12. แฟลตไวท์ Flat White
แฟลตไวท์ Flat White คือกาแฟเอสเปรสโซที่ ชงกับนมสองช็อต นมจะถูกนำไปอุ่นให้ร้อน และจะไม่มีฟองนมลอยอยู่ด้านบน กาแฟที่ได้จะมีรสนุ่มนวล กาแฟแฟลตไวท์มักจะเสิร์ฟมาในถ้วย ที่ปากกว้าง ส่วนต้นกำเนิดกาแฟแฟลตไวท์นั้นยังมีการถกเถียง ว่าจะเป็นที่ประเทศออสเตรเลีย หรือ นิวซีแลนด์
อยากรู้สูตรเด็ดเคล็ดลับรสรินทร์ตอนใหม่ๆ อย่าลืมกดไลค์แฟนเพจรสรินทร์ นะคะ
รับรองว่า คุณจะทำอาหารได้อร่อยจนคนทั้งบ้านชมไม่ขาดปากเลยค่ะ
ขอบคุณที่ติดตามเพจ รสรินทร์ Rosalyn นะคะ
Facebook: RosalynTH
ดูสูตรเด็ดอื่นๆ หน้าหลักรสรินทร์
ที่มาของข้อมูล: เทสแอทลาส
[vc_row][vc_column][vc_single_image image=”1894″ img_size=”full” alignment=”center” onclick=”custom_link” link=”https://store.line.me/stickershop/product/5353487/en”][/vc_column][/vc_row]